สามเกลอรีมิกซ์ 2 / สามเกลอข้ามมิติ ตอนที่ 2
2 / ดินแดนลึกลับ
ยามเช้าอันหนาวเหน็บ
อาคารทรงไทยหลังใหญ่ที่ซ่อนอยู่ภายในภูเขาที่คณะพรรคเห็นอยู่เมื่อคืนนั้นตั้งเด่นตระหง่านอยู่กลางแจ้งโดยมีสนามหญ้าเขียวขจีไกลสุดลูกหูลูกตาเป็นฉากหน้า อากาศภายนอกหนาวยะเยือก ทะเลที่คณะพรรคเห็นเมื่อคืนนั้นผิวน้ำราบเรียบเหมือนกระจกเงา ดวงตะวันสีแดงโผล่พ้นยอดเขาด้านหลังส่องแสงลอดบานหน้าต่างมองเห็นเป็นลำ สายลมพัดเอื่อย ๆ แต่นำพาความหนาวยะเยือกมาสัมผัสผิวกาย ละอองฝนพร่างพรายลงมาไม่ขาดระยะ นิกรมองอกมาจากหน้าต่างห้องพักของเขา พลางคิดในใจว่าบรรยากาศยามนี้ช่างดูเหมือนน้ำแข็งไสใส่น้ำหวานที่เขาซื้อกินเป็นประจำในตอนฤดูร้อนเหลือเกิน
เมื่อได้เวลา คณะพรรคก็พากันเดินออกมาจากอาคารรับรองที่ตั้งอยู่ทางด้านขวาของตัวอาคารทรงไทย เบาหวิวนำรถม้ามารับที่หน้าบันได คณะพรรคในชุดกันหนาวหนาเตอะรวมทั้งหมวกและถุงมือ อาเสี่ยใส่ชุดนี้ดูสง่ามากเนื่องจากเป็นคนตัวสูงใหญ่ส่วนเจ้าคุณปัจจนึก ฯ นั้น ดูคล้าย ๆ ลูกบอลไหมพรมเดินได้เสียมากกว่า
ม้า 4 ตัวลากรถย่างเหยาะมาตามถนนที่ปูด้วยอิฐสีแดงผ่านสนามหญ้าตรงไปยังอาคารทรงสยามเบื้องหน้า เบาหวิวบังคับม้ามาถึงหน้าประตูแล้วร้องสั่งให้ม้าหยุด
ยอ
เจ้าแห้วหัวเราะกิ๊ก
ฮ้าย พี่ยักษ์ ม้าหรือควายกันล่ะ ไหงต้องร้องยอด้วย
เบาหวิวหันมายิ้มให้เจ้าแห้ว
อ๋อ อ้ายพวกเราเลี้ยงรวม ๆ กับควายน่ะครับท่านจอมพล เวลาออกคำสั่งก็ต้องสั่งด้วยคำสั่งควายครับ
คณะพรรคครางฮือพร้อม ๆ กัน เบื้องหน้าคือประตูไม้บานใหญ่ เบาหวิวกระโดดลงจากรถม้า
คอยผมสักครู่ก่อนนะครับ ผมต้องแจ้งระหัสผ่านกับประตูกลก่อน
เบาหวิวเดินไปที่ประตูนั้น เขาหยุดยืนที่หน้าประตูแล้วยกแขนทั้งสองข้างขึ้นเหนือศรีษะ ค่อย ๆ ส่ายสะโพกไปมาแบบฮาไวพลางร้องเพลง
"ขี้ตั๊วะ เบ่เบ๊ อ๊า ขี้ตั๊วะ ตาลาลา"
คณะพรรคมองดูการเต้นของเบาหวิวแล้วหันมามองกันทำตาปริบ ๆ พลหันมากระซิบกับนายแพทย์หนุ่ม
"อ้ายหมอ มันทำอะไรของมันวะน่ะ" นายณรงค์ฤทธิ์ส่ายหน้าเบา ๆ
"เออหว่า เป็นฟังคล้าย ๆ หมอลำว่ะ ฝรั่งว่าระหัสผ่านอย่างนี้อ้ายกรก็เป็นทำได้ หรือว่าไงอ้ายกร อ้าว อ้ายกรกับอ้ายหงวนนั่งแคะสะดือเล่นทำไม เดี๋ยวก็ปวดท้องตายห่า"
นายจอมทะเล้นยกมือออกจากสะดือตัวเองแล้วยื่นให้อาเสี่ยดู
"ข้ากำลังพนันกันกับอ้ายเสี่ยว่าใครจะมีขี้สะดือมากกว่ากัน"
เจ้าแห้วหัวเราะกิ๊ก
"แหม รับประทานคุณท่านทั้งสองเข้าใจหาอะไรเล่นนะครับ"
ประตูไม้บานยักษ์ค่อย ๆ เลื่อนออกจากกันอย่างช้า ๆ เบาหวิวเดินผิวปากเป็นทำนองเพลงนางครวญเดินกลับมาที่รถม้าแล้วปีนขึ้นนั่ง เขาขยับสายบังเหียนเบา ๆ
"ฮึ่ย ๆ ไป ฮึ่ย ๆ"
ม้าหัวใจควายค่อย ๆ ย่างเหยาะพารถที่นั่งผ่านประตูไม้เข้าไปในเขตอาคาร มันคลานกุบกับไปจนถึงอาคารหลังใหญ่ เจ้าคุณแลเห็นเจ้าตัวเล็กเดินเตาะแตะเข้ามาเปิดประตูรถม้าให้
"อ้าว ว่ายังไงสมส่วน วันนี้มาอยู่ที่นี่รึ" เจ้าคุณกล่าวทักทาย
"เป็นยินรับต้อนดีชอรอสอเข้าสู่ทุกท่านครับ"
เจ้าคุณปัจจนึก ฯ อ้าปากหวอ
"หา อะไรนะ ไหน ๆ ขอใหม่อย่างเมื่อกี้นี้อีกทีสิ"
สมส่วนทำหน้าเลิ่กลั่ก
"เออ ... เป็นรับยินต้อนชอรอสอเข้าสู่ดีทุกท่านครับ โอ๊ย สมส่วนเป็นไม่ถูกพูด" เจ้าคุณพยักหน้าหงึก ๆ หันมาหานายแพทย์หนุ่ม
"อ้ายหมอ ไหนเจ้าลองแปลให้พ่อฟังหน่อยสิ" นายแพทย์หนุ่มดึงไปป์ออกจากปากแล้วเงยหน้าหัวเราะลั่น
"เป็นสบายมากครับคุณพ่อ ถึงกระผมจะเป็นนักวิทยาศาสตร์และเป็นแพทย์ แต่ผมก็มีความรู้ด้านภาษาศาสตร์เป็นเยี่ยมเช่นกัน ง่า ครั้งหนึ่งท่านมหาราชาปูนาดองเป็นทรงต้องการให้ผมแปลวรรณคดีภาษาฮินดีโบราณเป็นภาษาอังกฤษผมก็ทำให้ท่านจนสำเร็จ"
นิกรเอื้อมมือมาสกิดแขนนายแพทย์หนุ่มเบา ๆ
"จ้าพี่ พี่น่ะเป็นเต้ยทุกอย่างน้องเชื่อ ไหนพี่ลองแปลอ้ายที่สมส่วนมันพูดให้ฟังหน่อยสิ"
นายแพทย์หนุ่มหัวเราะเสียงดังอีกครั้งก่อนที่จะหันมาถามทุกคน
"เป็นทุกคนฟังไม่เข้าใจรึ" คณะพรรคส่ายหน้า
"แล้วคิดหรือว่าไอจะรู้เรื่อง" นายแพทย์หนุ่มตอบหน้าตาเฉย
คณะพรรคลงจากรถม้า เบาหวิวเดินนำไปยังห้องประชุมโดยมีสมส่วนเดินตามมาห่าง ๆ พลมองเห็นคนแคระเดินขวักไขว่ไปมา
"เจ้าพวกตัวเล็ก ๆ พวกนี้เป็นใครกันหรือเบาหวิว" พลถามเบาหวิวอย่างเป็นงานเป็นการ เบาหวิวหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
"พวกนี้เป็นคนเผ่าพื้นเมืองชาวเกาะใกล้ ๆ นี่แหละครับ เป็นคนแคระทั้งเกาะ เราจ้างเอาไว้เป็นคนงาน พวกเขาขยัน ซื่อสัตย์แต่เสียอยู่อย่างเดียวคือพูดไม่ค่อยรู้เรื่อง มักจะเรียงคำพูดสลับที่สลับทางกันไปหมดบางทีก็ใช้คำผิดซึ่งก็เล่นเอายุ่งไปเหมือนกัน มีอยู่คราวหนึ่งที่เจ้าพวกนี้วิ่งหน้าตาตื่นมาบอกว่าไฟไหม้โรงครัว พวกผมก็ต้องรีบพากันไปดับไฟ เมื่อไปถึงโรงครัวแล้วก็ไม่เห็นว่ามีอะไรเลย"
แล้วจริง ๆ มันเป็นอย่างไร" เจ้าคุณถาม
"จริง ๆ มันจะวิ่งมาบอกว่ามันติดไฟในครัวแล้ว ... เท่านั้นเอง"
เบาหวิวเดินนำคณะพรรคผ่านเข้าไปในตัวอาคารทรงไทย สมส่วนวิ่งควบกุบกับ ๆ นำหน้าคณะพรรคไปที่ประตูห้องประชุมหมุนลูกบิดแล้วดันบานประตูเข้าไปในห้อง เบาหวิวกล่าวแนะนำกับคณะพรรค
ท่านผู้มีเกียรติครับ นี่คือท่านหลวงโอสถสภาครับ
ชายรูปร่างผอมสูงในชุดเสื้อคลุมสีดำผิวขาวดูสะอาดสะอ้านเงยหน้าขึ้นมามองดูคณะพรรคที่กำลังเดินเข้ามา เขาคือหลวงโอสถสภา ผู้เป็นเจ้าของเกาะแห่งนี้ เขาลุกขึ้นจากโต๊ะทำงานแล้วเดินกางแขนตรงรี่มาหาเจ้าแห้ว
"โอ้ ... สวัสดีท่านจอมพล ดีใจจริง ๆ ที่ท่านมาถึงที่นี่"
เจ้าแห้วหยุดชะงักทำตาเหลือก
" ... โอ๊ยโย่ ... รับประทานกระผมไม่ใช่ท่านจอมพลอะไรหรอกขอรับ กระผมชื่อมิสเตอร์แห้วเป็นขี้ข้าของพวกท่าน ๆ เหล่านี้ขอรับ"
หลวงโอสถสภาหัวเราะเบา ๆ พลางโอบบ่าเจ้าแห้วกอดกระชับเบา ๆ
อย่างไรเสียอีกไม่นานท่านก็จะต้องทำความเคยชินกับคำว่าท่านจอมพลอยู่ดีแหละ
กล่าวจบหลวงโอสถสภาก็หันมาหาคณะพรรค
"ยินดีต้อนรับทุกท่านครับ ขอเชิญนั่งพักผ่อนก่อนเถิดครับ"
หลวงโอสถสภาเดินนำคณะพรรคไปที่โต๊ะรับแขกไม้ขนาดใหญ่ตรงหน้า เมื่อคณะพรรคนั่งลงเป็นที่เรียบร้อยแล้วหลวงโอสถสภาก็แจกห่อกระดาษเล็ก ๆ ให้กับทุกคน
พลมองห่อกระดาษอย่างสนใจ
นี่คืออะไรครับ
หลวงโอสถสภายิ้มเล็กน้อย
อ๋อ
ยาอมโบตันน่ะครับ
อ้ายเสือรูปหล่อหัวเราะหึ ๆ ส่ายหน้าไปมา
"ผมมีเรื่องที่จะเล่าให้ท่านทั้งหลายฟัง มันเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องระหว่างสยามประเทศของผมกับพวกท่าน มันเป็นเรื่องที่ร้ายแรงมาก อ้อ ก่อนอื่นผมขอแนะนำตัว ผมหลวงโอสถสภา เป็นเจ้าของเกาะนี้"
หลวงโอสถสภากล่าวขึ้นหลังจากอมยาอมแล้วทำหน้าสดชื่น
"เกิดอะไรขึ้นกับพวกเราหรือครับคุณหลวงเต๊กเฮงหยู" นิกรถามอย่างรวดเร็ว
หลวงโอสถสภาทำคอย่นยิ้มแหยๆ ให้กับนิกร
"ผมชื่อหลวงโอสถสภาครับคุณนิกร ไม่ใช่เต๊กเฮงหยู คนละคนกันครับ"
คณะพรรคหัวเราะครืน
"แล้วเรื่องที่ว่ามันเกี่ยวกับพวกผมนั้นมันคือเรื่องอะไรเล่าครับ"
เจ้าคุณปัจจนึก ฯ ขยับเข้ามาใกล้หลวงโอสถสภา
"คือเรื่องมันมีอย่างนี้ครับ เรื่องร้ายแรงที่เกี่ยวข้องกับพวกคุณนั้นมันน่ากลัวมาก ก่อนอื่นผมขอเล่าเบื้องหลังให้ฟังเสียก่อน ท่านสงสัยไหมครับว่าขณะนี้ท่านอยู่ที่ไหน
คุณหลวงชื่อเหมือนบริษัทขายยาอมตั้งคำถาม อาเสี่ยยิ้มแต้ถูมือไปมา
แหมคุณหลวงก็ถามอะไรตลก ๆ ที่นี่ก็ประเทศไทยไงครับ
หลวงโอสถสภาพยักหน้ารับ
ถูกต้องครับคุณกิมหงวน ที่นี่ประเทศไทย แต่ไม่ใช่ประเทศไทยของคุณ
อ้าว คณะพรรคร้องลั่น
ประเทศไทยก็ต้องเป็นของเราสิครับท่าน จะเป็นของคนอื่นได้อย่างไร นายพัชราภรณ์เอ่ยถาม
หลวงโอสถสภาเอนหลังพิงเบาะอย่างผ่อนคลาย
หากผมจะเล่าให้พวกท่านฟัง ผมก็ไม่ทราบว่าท่านจะเชื่อหรือไม่ ประเทศไทยที่ท่านคิดว่าเป็นของท่านนั้น แท้ที่จริงแล้ว ไม่ได้มีเพียงไทยเดียว แต่ในปัจจุบัน จากการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์แล้วเรามีประเทศไทยอยู่ 2 ประเทศ คือประเทศไทยของท่านกับประเทศสยามของเรา
นายแพทย์หนุ่มทำหน้าฉงน
เวล เป็นไปได้อย่างไรครับ ประเทศสยามของท่านกับประเทศไทยของเรา ผมฟังแล้วเป็นไม่เข้าใจนัก
หลวงโอสถสภายิ้มอย่างอารมณ์ดีก่อนที่จะกล่าวกับนายแพทย์หนุ่ม
ในยามปกติ เราจะรู้จักมิติต่าง ๆ อยู่เพียง 3 มิติ อันเป็นมิติที่เกี่ยวกับระยะทาง อันได้แก่ความสูงความยาวความกว้างความลึกความใกล้ความไกล ซึ่งเป็นมิติที่สามารถจับต้องและมองเห็นได้ เหมือนอย่างยาอมโบตันซองนี้
หลวงโอสถสภาหยิบห่อยาอมยกชูขึ้นมา
เราสามารถมองเห็นมันได้
คณะพรรคพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ
แต่มีอีกมิติหนึ่งที่เรามองมันไม่เห็น แต่ว่ามันมีอยู่จริง
หมายความว่าอย่างไรครับ นายพัชราภรณ์เอ่ยแทรก
หลวงโอสถสภาชี้นิ้วไปที่นอกหน้าต่าง
อธิบายง่าย ๆ ก็คือ ในช่วงเวลาเดียวกัน สามารถมีเหตุการณ์อะไรหลาย ๆ อย่างเกิดขึ้นพร้อมกันได้ เช่น ในขณะที่ผมกำลังพูดอยู่นี้ เจ้าสมส่วนก็กำลังเดินไปที่หน้าต่างเป็นต้น แปลว่า ในวินาทีเดียวกันเหตุการณ์ต่าง ๆ ก็สามารถเกิดขึ้นได้พร้อม ๆ กันในวินาทีนั้น แต่นั่นเป็นเรื่องของมิติเวลาในโลกเดียวกัน ท่านพอจะเข้าใจไหม
เจ้าแห้วอ้าปากหวอ
รับประทาน ไม่เข้าใจเลยขอรับ
เดี๋ยวท่านจะเข้าใจเองท่านจอมพล หลวงโอสถสภากล่าวกับเจ้าแห้ว
มิติเวลาในโลกเดียวกันเราสามารถมองเห็นได้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่มิติเวลาอีกมิติหนึ่งอันเป็นมิติเวลาคนละโลกที่เราไม่สามารถมองเห็นได้ ซึ่งเกิดจากความบังเอิญของธรรมชาติที่อธิบายได้ยาก ผมเกรงว่าท่านจะไม่เข้าใจ
นายแพทย์หนุ่มกล่าวกับหลวงโอสถสภา
เวล ผมเองก็ยังเป็นงง ๆ อยู่เหมือนกันครับ อยากให้ท่านอธิบายให้กระจ่างกว่านี้อีกสักนิด
หลวงโอสถสภายิ้มน้อย ๆ ก่อนจะอธิบายต่อ
ผมกำลังจะอธิบายว่าในโลกที่ท่านใช้ชีวิตอยู่นั้น แท้ที่จริงแล้วมันถูกเชื่อมต่อกับอีกมิติหนึ่งโดยมีช่องว่างของมิติซึ่งเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่ยังหาคำอธิบายไม่ได้ว่าเราจะควบคุมมันอย่างไร จากทางเชื่อมของช่องว่างระหว่างมิติเราพบว่ามีโลกอีกโลกหนึ่งที่เหมือนกับโลกที่ท่านอาศัยอยู่ แต่แตกต่างกันที่ว่าบ้านเรือนอาคารสถานที่และผู้คนอาจจะไม่เหมือนกันแต่ในบางครั้งก็อาจจะมีคนที่เหมือนกันอยู่ในโลกอีกฟากหนึ่งก็ได้ ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่เกิดได้ยากมากทางทฤษฎี เราเรียกมิตินี้ว่ามิติคู่ขนาน มันเหมือนกับการที่เราส่องกระจกเงา เราจะพบว่ามีตัวเราอีกคนอยู่ในกระจกซึ่งเราไม่สามารถสัมผัสจับต้องได้ และเราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าตัวเราหรือคนที่อยู่ในกระจกนั้น ใครเป็นตัวจริงกันแน่
เจ้าคุณปัจจนึก ฯ พยักหน้าหงึก ๆ
อืม ผมพอจะเข้าใจแล้วว่าโลกที่เราอยู่นี้ไม่ได้มีเพียงหนึ่งเดียว แต่ในอีกมิติหนึ่งก็ยังมีโลกแบบเดียวกันนี้อยู่
หลวงโอสถสภาพยักหน้า
ถูกต้องแล้วครับท่าน ท่านฉลาดมากสมกับที่เป็นนายทหารระดับสูง ง่า ภาษาในมิติของท่านเรียกคนฉลาด ๆ ว่า ง่า
เรียกว่าอะไรนะสมส่วน
เจ้าสมส่วนยิ้มตาหยี
เรียกว่าหัวใสครับ
คณะพรรคหัวเราะลั่นทันทีที่เจ้าสมส่วนตอบ มีเพียงเจ้าคุณปัจจนึก ฯ ที่นั่งขบฟันกรอด ๆ อาเสี่ยกับนิกรถึงกับลงลูกคอร่วน
อ้ายสมส่วน เอ็งกับข้าท่าจะอยู่ร่วมโลกเดียวกันไม่ได้เสียแล้วกระมัง
หลวงโอสถสภาทำหน้าเลิ่กลั่ก
เอ๊ะ อย่างไรกันครับ คำว่าหัวใสตลกตรงไหนหรือครับ
ท่าเจ้าคุณปัจจนึก ฯ ข่มใจอย่างหนักก่อนที่จะเอ่ย
คุณหลวงครับ ถ้าหากจะคุยกันต่อ กรุณาเลี่ยงคำว่าล้าน เลี่ยน เตียน โล่ง ลื่น เกลี้ยง ใสหรือว่ามันแผล็บอะไรอย่างนี้ เพราะว่ามันพาดพิงมาถึงกบาลของผม ผมไม่ชอบ
หลวงโอสถสภาทำหน้าเหมือนนึกขึ้นได้
โอ๊ยโย่
ผมไม่มี
ผมไม่มีเจตนาเลยขอรับ
คราวนี้คณะพรรคยิ่งหัวเราะหนักเข้าไปอีก เจ้าคุณปัจจนึกตวาดแว้ด
คำว่าผมไม่มีก็ห้ามพูด ปั๊ดธ่อเว้ย เฮ้ย อ้ายพวกนี้ก็หยุดหัวเราะกันสักทีเดี๋ยวพ่อยันไปนู่น
คณะพรรคกลั้นเสียงหัวเราะอย่างยากลำบาก อาเสี่ยกับนายจอมทะเล้นยังนั่งอมยิ้มแก้มตุ่ยบางทีก็ปล่อยพรืดออกมาจากจมูกอย่างกลั้นไม่อยู่
เอาเถอะคุณหลวงอธิบายเรื่องของคุณต่อไปก็แล้วกัน
หลวงโอสถสภายิ้มแป้น
ผมกำลังจะบอกพวกท่านว่าขณะนี้พวกท่านอยู่ในประเทศสยามนี่แหละ แต่เป็นประเทศสยามในอีกมิติหนึ่ง
คราวนี้คณะพรรคทำตาเหลือก ดร.ดิเรกกล่าวว่า
นั่นหมายความว่าที่นี่เป็นมิติคู่ขนานของประเทศไทยอย่างนั้นหรือครับ
หลวงโอสถสภาพยักหน้า
ใช่แล้วครับคุณหมอมิติที่เราอยู่กันตรงนี้เป็นมิติคู่ขนานของประเทศไทย ซึ่งเราคำณวนไว้แล้วว่าทางเชื่อมมิติทั้งสองมาเชื่อมกันเมื่อคืนนี้เวลาสองทุ่มกว่า ๆ และเราก็ให้เบาหวิวไปรับท่านมา
เจ้าแห้วทำหน้าเหมือนจะตาย
อ๋อย รับประทานแล้วนี่เราจะกลับได้ไหมขอรับ
หลวงโอสถสภายิ้มเล็กน้อย
กลับได้ครับท่านจอมพล แต่ว่าอีก 3 ปีข้างหน้ากว่าช่องมิติจะมาบรรจบกันอีกครั้งหนึ่ง
สามปี คณะพรรคร้องขึ้นพร้อมกัน
แล้วทำไมถึงได้เกิดมิติคู่ขนานของประเทศไทยได้เล่าครับ พลถามอย่างเป็นงานเป็นการ
เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อครั้งประเทศสยามเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 ปีนั้นดาวหางใหญ่ดวงหนึ่งแทรกเข้ามาในวงโคจรของโลก ดาวหางดวงนั้นมีอนุภาคคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าสูงมาก สูงจนเกิดการเปลี่ยนแปลงของมวลอวกาศใกล้ ๆ กับผิวโลก เกิดการแตกตัวของมิติเป็นสองด้าน และกลายเป็นมิติคู่ขนานขึ้นมา มิติทั้งสองด้านต่างเป็นอิสระต่อกันและที่สำคัญก็คือมิติทั้งสองด้านต่างก็ไม่รู้ว่ามีมิติฝาแฝดของตนเองอยู่ จนเมื่อไม่นานมานี้ มิติทางด้านของผมก็คิดค้นการคำณวนหาการบรรจบกันของช่องว่างระหว่างมิติได้
เจ้าคุณปัจจนึก ฯ เอ่ยถาม
แล้วคุณหลวงพาพวกเรามาที่นี่ทำไมครับ
หลวงโอสถสภาพยักหน้าเบา ๆ
ผมจะพาคณะของท่านไปเข้าเฝ้าพระเจ้าสุริยะ พระมหากษัตริย์ของเรา พระองค์ท่านจะทรงอธิบายให้คุณทราบเองว่าทำไมเราต้องนำท่านทั้งหลายมาที่นี่ ขอเชิญตามมาทางนี้ครับ
พูดจบหลวงโอสถสภาก็ลุกขึ้นแล้วกล่าวว่า
พวกท่านเท่านั้นคือผู้ที่จะช่วยพวกเราได้
โดยคุณ : สมนึก สมนาค 415 -
[ 21 พ.ย. 2002 , 21:57:10 น. ]
|