" ในปัจจุบัน แต่
ป. อินทรปาลิต เคยทำมาก่อนแล้ว
ผู้มีอำนาจจะโง่เง่า
ไม่เข้าใจวิธีการนี้
คิดว่ามันเป็นแค่เรื่องขำขัน -
เรื่องอ่านเล่น - เป็นการ์ตูน
กรณีสังหาร
4 รัฐมนตรี ป. อินทรปาลิต
เอามาเขียนล้ออยู่บ่อยๆ
โดยเฉพาะประโยคที่ว่า - ไปบางเขน
(ย้ายที่คุมขังไปโรงพักบางเขนกลางดึก
แล้วมีโจรมลายูยิงถล่มกลางทาง
ผู้ต้องหา 4 รัฐมนตรีตายเรียบ
ส่วนตำรวจผู้ควบคุมไม่เป็นอะไรเลย)
ความคิดต่อต้านสงครามในตอน
"ไปเกาหลี"
สามเกลอสมัครไปรบเกาหลี
แต่ด่าสงสารทั้งเรื่อง
กระแหนะกระแหน
จอมพล ป. พิบูลสงคราม
ที่นำประเทศไทยเข้าร่วมกับฝ่ายญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่
2 เป็นเหตุให้ประเทศชาติหายนะ
ตัดทอนอักษรไทยจนภาษาวิบัติ
รวมไปถึงขบวนการ "รัฐนิยม"
บ้าๆ บอๆ (อย่างเดียวกับ
ไทยช่วยไทย
กินของไทย...กินผัดไทย
ไม่กินขนมจีน - กล้วยแขก -
ลอดช่องสิงคโปร์...ในยุคนี้ละกระมัง)
เกลียดชังประเพณีเรียกสินสอดทองหมั้นก่อนแต่งงาน
ซึ่งที่จริงก็คือวิธีขายลูกสาวเราดีๆ
นี่เอง
คุณหลวงสติเฟื่องรายหนึ่ง
จึงติดประกาศ "ขายลูกสาว"
ไปตรงๆ
ไม่ต้องมาเสียเวลากระมิดกระเมี้ยน
ยกประเพณีบังหน้า
รังเกียจพวกที่บูชาเงินเป็นพระเจ้า
โดยให้อาเสี่ยกิมหงวนแสดงการ
"ฉีกเงิน"
อวดรวยอยู่เรื่อย ป.
อินทรปาลิตเล่นแรงมาก
เพราะแม้กระทั่งปัจจุบันนี้
ยังมีผู้คนอีกจำนวนมากที่เห็นว่าเงินเป็น
"ของสูง"
ไม่ควรแสดงกิริยาลบหลู่ดูหมิ่น
- เดี๋ยวเงินจะไม่เข้ามาหา
ผู้เขียนตั้งข้อสังเกตว่าความคิดเชิง
"เสรีนิยม"
ที่ว่านี้
มาปรากฎเด่นชัดในผลงานช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่
2
5.
เป็นบันทึกทางสังคม
บทบาทของสามเกลอมักเกี่ยวโยงกับเหตุการณ์และเรื่องราวในปัจจุบัน
(สมัยที่เขียน)
แม้จะไม่ใช่รายงานทางประวัติศาสตร์ที่มีข้อมูลครบถ้วนสมบรูณ์
แต่ก็พอจะทำให้ผู้คนในยุคต่อมามองเห็น
"ภาพ"
ในอดีตได้อย่างชัดเจน
เหตุการณ์วันรับเสด็จ
- งานรัฐธรรมนูญ
(เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้ว) -
มวยนัดสำคัญ - คดีดังในอดีต -
แฟชั่นการแต่งกาย รถ บ้าน
ย่านบันเทิง ฯลฯ
แทบจะทุกความเป็นไปในสังคมที่
ป. อินทรปาลิต ได้ "บันทึก"
เอาไว้
การแสวงหาความรื่นรมย์ของ
"ผู้มีอันจะกิน" ในยุคนั้น
ป.
อินทรปาลิต บรรยายไว้อย่างหรูเลิศ...ต้องไปเที่ยวเบียร์ฮอลล์
ไปเต้นรำบางปู ไปชมภาพยนตร์
ไปฟังดนตรีสุนทราภรณ์ ฯลฯ
ซึ่งเป็นความอีลุ่ยฉุยแฉกขั้นสูงสุดของท่านมหาเศรษฐียุคนั้น
ไม่มีมากไปกว่านี้
วัฒนธรรม
"รวมญาติ"
อย่างของ "บ้านพัชราภรณ์"
(ในเรื่อง)
ก็แทบจะสูญหายไปจากสังคมไทย
ลักษณะทางชนชั้นในสมัยนั้นก็มองเห็นได้ชัดเจน
การจำแนกชนชั้นสูง - กลาง - ต่ำ
จะแตกต่างกันไป ตามชาติตระกูล
ศักดินา และการศึกษา
เห็นได้ชัดว่า "เงิน"
ยังไม่ใช่ตัวกำหนดคุณค่าและคุณภาพของคน
ดูจากภาพพจน์ของพ่อค้าต่างด้าว
(จีน แขก ฝรั่ง)
ถึงจะรวยสักเพียงไหน
ก็ยังเป็นแค่
"ผู้เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร"
ไม่มีเกียรติยศศักดิ์ศรีเทียบเท่าคนไทยได้เลย
6.
ภาษาร่วมสมัย
ที่ไม่นำประเด็นนี้ไปรวมกับข้อ
2.3
เพราะเห็นว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ
"โรงเรียนนักเขียน"
เป็นข้อสังเกตปิดท้ายจากผู้เขียน
ซึ่งไม่อยากให้นำไปอ้างอิงขยายความ
เพราะข้อมูลและเหตุผลไม่ชัดเจนเพียงพอ
ผู้เขียนฉุกคิดขึ้นมาเล่นๆ
ว่าเหตุใดสำนวนภาษาในหัสนิยายสามเกลอ
ซึ่งเริ่มเขียนตั้งแต่ พ.ศ. 2481
มาสิ้นสุดเอาเมื่อ พ.ศ. 2511
(ใหม่สุดก็ 30 ปีมาแล้ว) จึงยัง
"ทันสมัย"
เหมือนกับว่าเพิ่งจะเขียนเมื่อวานนี้เอง
ขอเดา -
คงเพราะ ป.
อินทรปาลิตนำภาษาตลาด หรือ "ภาษาพูด"
มาใช้ คนไทยเมื่อ 50 ปีก่อนกับคนไทยวันนี้ น่าจะมี
"วิธีพูด"
ไม่แตกต่างกันนัก
เปลี่ยนก็เปลี่ยนไม่มาก
โครงสร้างทางภาษาและอารมณ์ยังคงเดิม
นิยายสามเกลอจึงดูเสมือนนิยายสมัยใหม่
พิสูจน์ได้ในขั้นหนึ่งว่า
"ภาษาเขียน"
วิวัฒนาการไปตามยุคสมัยสุดแต่ว่า
"จริต"
ของผู้ใช้ภาษาในแต่ละยุค
จะทำให้รสนิยมทาง
"วรรณศิลป์"
แปรรูปออกมาเป็น
"วรรณกรรม" ในท่วงทำนองใด
ซึ่งไม่เกี่ยวกับการใช้ภาษาในชีวิตประจำวันแต่อย่างใด