Home Page
samgler connection members information discuss library misc. web board contact us

ประวัติ ป. อินทรปาลิต





ที่มา: หนังสือ "ศาลาโกหก" พ.ศ. 2508
  ตีพิมพ์บน Internet โดยไม่ได้รับอนุญาติ เพื่อการศึกษา
พิมพ์โดย: คุณร่มโพธิ์ สมาชิกหมายเลข 00171

ประวัติ ป. อินทรปาลิต

ผมเขียนของผมเอง

ท่านผู้อ่านบางท่านหรือหลายท่านเคยได้อ่านประวัติย่อ ๆ ของผมมาบ้างแล้วจากหนังสือบางเล่ม แต่ข้อเท็จจริงนั้นมีปะปนกันอยู่ บางทีผมก็ให้สัมภาษณ์ไปขณะที่ลิ้นไก่ผมแข็งและพันกัน บางทีผู้เขียนประวัตินักเขียนคนนั้นไม่เคยเห็นหน้าค่าตาผม ฟังคนอื่นเล่าให้ฟังอีกทีหนึ่ง ผมเห็นว่า ไหน ๆ ผมก็เขียนหนังสือขายหลอกเอาอัฐท่านและลูกหลานของท่านมานมนานแล้ว ตั้งแต่ท่านยังเป็นนักเรียนยังไม่มีแฟนและยังไม่มีครอบครัว จนกระทั่งปัจจุบันนี้ท่านมีลูกเต้ายั้วเยี้ย ท่านก็ยังอ่านเรื่องของผมอยู่ ผมก็อยากจะให้ท่านได้ทราบถึงชีวประวัติหรือความเป็นมาแห่งตัวผม รับรองว่าเขียนกันอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งผมจะยอมให้มีความเท็จหรือเรื่องไม่จริงแฝงอยู่ราว 60 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น

ความจริงนักเขียนที่มีคนเขียนประวัติให้คนอ่านนั้นต้องเป็นนักเขียนชั้นเยี่ยมคือชั้น อะ หรือ ชั้น อา สำหรับผมเป็นนักเขียนชั้น อึ ไม่มีใครเขามาขอสัมภาษณ์เขียนประวัติผม ผมก็เลยเขียนเสียเอง ถ้ามีการยกย่องตัวเองบ้างก็ต้องอภัยนะครับ นิสัยของผมก็ออกจะเป็นคนคุยโวโอ้อวดเสียด้วย ยิ่งกินเหล้าเข้าไปแล้วผมพ่นขนาดบ้าน้ำลายทีเดียว

เอาละครับเริ่มประวัติของผมเสียที

ผมเกิดปีไหนผมจำไม่ได้ ผมไม่รู้ว่าผมจะจดจำเอาไว้ หาสวรรค์วิมานอะไร ผมจำได้แต่เพียงว่าผมเกิดวันพฤหัสบดี เดือนอะไร ปีอะไรท่านอย่าไปสนใจเลยครับ อายุของผมปัจจุบันนี้เอาเป็นอัน 50 กว่าๆ เป็นใช้ได้

ผมเกิดที่สะพานขาว คือสะพานจตุรพักตร์รังสฤษดิ์ จังหวัดพระนคร แต่ไม่ได้เกิดบนสะพานหรือข้างสะพานหรือใต้สะพานนะครับ ตำบลนั้นเขาเรียกกันว่าสะพานขาว ผมมีพ่อมีแม่มีญาติพี่น้องตามธรรมเนียมของมนุษย์ทั้งหลาย ตอนเป็นเด็กผมจำอะไรไม่ได้ ถ้าเล่าให้ท่านฟังมันก็เป็นการโกหก รู้แต่ว่าผมเป็นเด็กผู้ชายที่ซนและแก่นพอดู พอโตหน่อยก็ไปเรียนหนังสือ เรียนบ้างหนีบ้าง เอาค่าเทอมไปเที่ยวกับเพื่อนๆ เสียบ้าง พ่อผมต้องไปจ่ายให้ทางโรงเรียนเขาด้วยตนเองแล้วก็นวดผมตามระเบียบ ผมตั้งปัญหาถามตัวเองว่าผมจะเรียนหนังสือไปทำไม เช้าขึ้นก็ต้องแต่งตัวไปโรงเรียน ครูแต่ละคนก็แสนจะดุ วันหนึ่งๆ มันช่างล่าช้าเหลือเกินสำหรับเด็กนักเรียนที่ขี้เกียจเรียนเหมือนอย่างผม

รวบรัดตัดความเอาเป็นว่าผมเติบโตขึ้นนะครับ เริ่มตอนแตกเนื้อหนุ่มก็แล้วกัน บิดาของผมท่านเห็นว่าผมควรจะเจริญรอยตามท่าน ท่านก็พาผมไปเข้าเรียนที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง ตรงข้ามกับสนามมวยเวทีราชดำเนินนั่นแหละครับ โรงเรียนนี้ทำให้ผมเป็นหนี้บุญคุณอย่างล้นเหลือ เพราะผมได้กินขนมปังกินข้าวสุกอยู่หลายปี เงินทองไม่ต้องเสีย วันหนึ่งกินหลายเวลา เสียอย่างเดียวต้องตื่นแต่เช้า กำลังนอนสบายต้องลุกขึ้นล้างหน้าแต่งตัวแล้วไปเดินไปวิ่ง ไปทำอะไรอย่างที่พวกทหารเขาชอบทำกัน ทำซ้ำ ๆ ซาก ๆ น่าเบื่อ

ผมเป็นหนุ่มใหญ่ในโรงเรียนนั้นมีเพื่อนฝูงมากหน้าหลายตา ไม่มีการถือเขาถือเราหรือแบ่งชั้นวรรณะ เราถือเสียว่าเมื่อเข้ามาเป็น "หัวแดง" ด้วยกันกินข้าวหม้อเดียวกัน ก็ต้องรักกันเป็นเพื่อนเป็นพี่เป็นน้องตามอาวุโส รุ่นผู้ใหญ่กว่าก็เป็นพี่ รุ่นเดียวกันก็เป็นเพื่อน รุ่นเด็กกว่าคือต่ำชั้นกว่าก็เป็นน้อง ถ้าตัวโตแข้งใหญ่หน่อยเป็นเพื่อนกันยังได้ ใครมีเรื่องเดือดร้อนก็ช่วยเหลือกัน หนีโรงเรียนไปเที่ยวในตอนกลางคืนก็ไปด้วยกัน คนหนึ่งคอยมองดูคนที่เราเรียกเขาว่า "ผู้หมวด" และเป็นเวรประจำโรงเรียน อีกคนง้างแผ่นสังกะสีออก นอกนั้นค่อย ๆ มุดออกไปตามระเบียบ เราต่างช่วยเหลือเกื้อกูลกันตลอดเวลา แต่ตอนสอบสิ้นปีช่วยกันยากหน่อย เพราะกรรมการที่คุมห้องไม่ยอมยิ้มให้ใครและโดยมากมักจะไว้หนวดเสียอีก

ท่านจอมพลสฤษดิ์ท่านก็เคยเรียนโรงเรียนเดียวกับผมแต่ท่านเป็นรุ่นพี่ ท่านจอมพลถนอม ก็เคยอยู่โรงเรียนนั้น รุ่นเดียวกับผมนั่งโต๊ะใกล้ ๆ กันด้วยซ้ำไป ตอนนั้นผมไม่คิดหรอกครับว่า ท่านทั้งสองจะมีอนาคตรุ่งโรจน์แจ่มใสเช่นนี้ เพราะผมรักเพื่อน มีเพื่อนที่ต่ำชั้นกว่าหลายคนผมก็เลยแกล้งสอบให้มันตก เพื่อรอคอยเพื่อนที่ผมรักให้ขึ้นมาเรียนร่วมชั้นกับผม เพื่อนรุ่นนั้นเขาก็ข้ามหน้าผมไปปีหนึ่ง ผมเรียนซ้ำชั้นอย่างภาคภูมิ แต่ภาคภูมิแบบคนที่ไม่รับประทานถ่าน ออกหนังสือพิมพ์ในห้องเรียนบ้าง ยุ่งกับผู้หญิงบ้าง แล้วผู้หญิงก็ชอบยุ่งกับผมและพวกผมเสียด้วยซิ ตอนเย็นแฟนไปหาผมเอาขนมหรือผลไม้ไปฝาก ทำท่าทางอายเหนียมทำหูทำตากระชดกระช้อย บางทีก็หน้าแดงเมื่อถูกผมเกี้ยวด้วยคำคม (ว่าเข้าให้นั่น) ผมมีแฟนอยู่หลายคนครับ พ่อของผมเป็นอาจารย์อยู่โรงเรียนนั้นเมื่อท่านทราบว่าผมติดผู้หญิงชนิดที่แกะไม่ออก ท่านก็เรียกผมไปสัมภาษณ์ พอผมแสดงโวหารหรือคำคม ท่านก็ทำท่าเหมือนกับจะลุกขึ้นมาเตะผม "เรียนสำเร็จก่อนโว้ยเรื่องผู้หญิงไว้ทีหลัง" ท่านโยนคติพจน์ประโยคนี้ให้ผม

แต่ความรักทำให้ผมตาแฉะ ผมนั่งใจลอยในเวลาเรียน และอ่อนระโหยโรยแรงในเวลาฝึก ผมเคยเป็นลิงในหมู่เพื่อน เคยร่าเริง สดชื่น มีอารมณ์ขัน แต่พอตก "ห้วงรักเหวลึก" ซึ่งไม่ใช่เรื่องของคุณหลวงวิจิตรวาทการ ผมก็เริ่มเสียคนคือไม่เอาใจใส่ในการเรียน ถึงกับบอกเพื่อนที่ต่ำชั้นกว่าผมว่า "ปีหน้าอั๊วรอพวกลื้อโว้ย" ในที่สุดผมก็ตกอีกครั้งหนึ่ง ตกอย่างไม่เป็นท่า ผู้บังคับการโรงเรียนท่านเรียกตัวผมไปพบเป็นส่วนตัวและคุยกับผมอย่างลูกหลานเพราะท่านเป็นเพื่อนกับพ่อผม "ว่าไงโว้ย ทำไมลื้อสอบตก" เสียงของท่าน แบบเสียงดังฟังชัดขนาดกระซิบอยู่ตั้งเส้นยังได้ยิน

"เพราะผมสอบไม่ได้ครับ" คุณพระผู้บังคับการของเราหยุดยิ้มทันที

"พูดกวนไปหน่อย"

"ครับ" ผมยอมรับว่ากวนจริง ๆ

"น่าเสียดายที่ลื้อไม่ได้เจริญรอยตามคุณพ่อของลื้อ และอั๊วเสียใจที่เราไม่มีที่ให้ลื้อเรียน"

"อ้าว ก็นักเรียนที่เขาจะขึ้นมาเรียนชั้นผมมี 18 คนเท่านั้น โต๊ะเรียนห้องผมมีตั้ง 24 โต๊ะนี่ครับ ไหงผู้การว่าไม่มีที่ให้ผมเรียน"

ท่านยกนิ้วสองนิ้วชูให้ผมดู "ตกสองปีก็ต้องรีไทโว้ย"

เป็นอันว่าผมต้องอำลาสถาบันอันมีเกียรติ ต้องจากผู้บังคับบัญชาครูบาอาจารย์และเพื่อนรักของผม ซึ่งมีอยู่มากมายด้วยความอาลัย เพื่อนของผมรุ่นนั้นเรียนสำเร็จใน พ.ศ. 2474 วันคืนผ่านพ้นไปเขาก็รุ่งเรืองก้าวหน้าไปตามกัน บางคนโชคร้ายหน่อยก็มีธุระไปติดคุกฐานกบฏในพระราชอาณาจักร แต่แล้วก็ได้รับพระราชทานอภัยโทษได้คืนยศ

ผมดิ้นรนผจญโลกและเป็นโรคตามประสาคนหนุ่ม เพราะเรียนไม่สำเร็จก็เลยจับอะไรไม่ได้ ร่วมมือกับพี่สาวผมตั้งโรงเรียนราษฎร์สอนหนังสือที่บ้าน จ้างเพื่อนฝูงมาเป็นครูสอนเด็กอยู่พักหนึ่งผมก็เข้ารับราชการหวังจะไล่กวดเพื่อน ๆ ให้ทัน แต่นิสัยของผมมันไม่ชอบ "ครับผม" หรือยืนกุมสะดือพูดกับใคร มีความทระนงในศักดิ์ศรีของตัวเอง ทั้งที่ไม่มีศักดิ์ศรีอะไร รับราชการได้ปีครึ่งเจ้านายท่านโปรดปรานผมมาก สั่งย้ายผมไปอยู่ปัตตานี ผมเห็นคำสั่งแล้วก็มาจินตนาการ ดูว่าที่นั่นญาติทางฝ่ายบิดามารดาของผมไม่มีสักคน เพื่อนฝูงก็ไม่มี เงินเดือน 35 บาทขึ้นไปก็เห็นจะแย่ ผมก็เลยลาออก

พรหมลิขิตทำให้ผมมีเมียและมีลูกทั้ง ๆ ที่ผมไม่มีงานทำ เมียของผมคนแรกเป็นผู้หญิงและสวยเสียด้วย ปากนิดจมูกหน่อยเข้าทีครับ แต่เท่งทึงไปนานแล้ว ผมอยู่บ้านไม่มีงานทำก็ไถเงินพ่อ ตามธรรมเนียม อยากมาเป็นพ่อผมก็ต้องให้เงินผมใช้ละ พ่อผมถูกไถหนักเข้าทนไม่ไหวก็กล่าวกับผมอย่างน่าฟังแต่ดุเดือดว่า "แกต้องช่วยตัวเอง แกจะอยู่เฉย ๆ อย่างนี้ไม่ได้ พ่อยังจะต้องอุปการะน้อง ๆ ของแกที่กำลังเรียนอยู่อีกหลายคน"

"เอาละครับ ผมประกอบอาชีพเสียที" ผมพูดอย่างทระนง

"ดีแล้ว แกจะทำอะไร"

"ขับแท็กซี่ครับ"

"ขับแท็กซี่……. แต่เพื่อน ๆ ของแกขณะนี้เขาเป็นร้อยโท แกไม่อายเขาหรือถ้าเขาพบเห็นแก"

"โน….ป๋า" ผมเดาะภาษาฝรั่งเข้าให้ เพราะผมก็เป็นลูกศิษย์ท่านเจ้าคุณวรรณศาสตร์ฯ มาแล้ว เช่นเดียวกับท่านจอมพลนายกรัฐมนตรีทั้งสอง "ป๋าช่วยผมหน่อยเถอะครับ ผมไปดูรถเซ็คกันต์แฮนส์ไว้คันหนึ่งยี่ห้อโอเว่อร์แลนด์วิปเป็ตครับ เจ้าของเขาจะไปอยู่บ้านนอกเขาจะขายเพียง 350 บาทเท่านั้น " (ราคาสมัยนั้น) พ่อหรือป๋าต้องควักกระเป๋าให้ผม แต่ก็มีการอวยพรชัยให้พรนิดหน่อยตามธรรมเนียมของพ่อแม่ที่ต้องจ่ายเงินมาก ๆ ให้ลูก คราวนี้ผมก็เลยได้เป็นเจ้าของรถยนต์ประทุนสีแดงกลางเก่ากลางใหม่ยี่ห้อโอเว่อร์แลนด์คันหนึ่ง ซึ่งในสมัยนั้นมันก็หรูหราพอดูได้ ความจริงราคาที่ผมซื้อ 300 บาทเท่านั้น แต่คนฉลาดอย่างผมก็ต้องหากำไรไปในตัวจากการไถบิดาของผม

ด้วยความช่วยเหลือของนักขับแท็กซี่รุ่นอาวุโสคนหนึ่งซึ่งเป็น "ผู้กว้างขวาง" ในย่านบางลำพู ผมก็นำรถไปจอดรับคนโดยสารที่นั่น ตอนแรกผมก็รู้สึกกระดากอายถึงกับต้องสวมแว่นตาแต่ไม่ถึงกับใส่หนวด ถ้ามีผู้หญิงสาว ๆ รี่เข้ามาจะถามราคาผมก็พรวดพราดลงจากรถเลี่ยงไปเสีย แต่แล้วต่อมาก็ได้คิดว่าผมไม่ได้ลักขโมยหรือจี้ไชใครรับประทาน ผมหากินในทางสุจริต นักปราชญ์โง่ ๆ เคยสอนว่า…. งานที่สุจริตนั้นย่อมมีเกียรติเหมือนกัน ผมก็เลยชักหน้าด้านถึงพับร้องเรียกผู้โดยสาร จนกระทั่งเพื่อนผมบางคนที่เขามีดาวสองดวงบนบ่าขึ้นนั่งรถผมโดยบังเอิญ เปล่า…ไม่มีใครแสดงท่าทีรังเกียจเหยียดหยามผมเลย สถาบันแห่งนั้นสอนให้เรารักกัน เหมือนกับว่าเรามีสายเลือดอันเดียวกัน ไม่ว่าอดีต, ปัจจุบันและอนาคต ไม่ว่าฝ่ายหนึ่งเป็นนายพลเป็นจอมพล และอีกฝ่ายหนึ่งเป็นกรรมกรหาเช้ากินค่ำ เพื่อนที่โดยสารรถผมต่างสงสารและเห็นใจผม จ่ายค่ารถให้ผมอย่างงามทีเดียว ขนาดบางลำพูไปบางซื่อให้ 5 บาท (สมัยนั้นก็เท่ากับ 80 ขณะนี้) ผมแกล้งทำอิดเอื้อนไม่อยากเอาเงินเพื่อน แต่ใจจริงอยากได้ เรื่องมันเป็นยังงี้แหละครับ

"เฮ้ย มีเรื่องเดือดร้อนมาหาอั้วที่กองพันนะโว้ย อั้วและพวกเรายังเป็นเพื่อนที่ดีของลื้อเสมอ"

"ครับ ขอบคุณครับ"

เพื่อนผมทำตาเขียวเข้าใส่

"ครับอหิวาต์อะไรวะ"

ผมก็คงดิ้นรนต่อสู้กับชีวิตของผมแบบตีนถีบปากกัด แยกตัวไปจากพ่อเพราะผมมีเมียมีลูก แต่เพียงปีเดียวผมก็ขายรถเลิกขับแท็กซี่ เพราะแท็กซี่มันมากมายและตัดราคากัน โดยเฉพาะรถออสดินคันโตกว่ากล่องสบู่หน่อยเดียวราคาถูกมาก ขนาดบางลำพูหัวลำโพง 35 สตางค์เท่านั้น ผมกลายเป็นกรรมกรว่างงาน เมื่อไม่มีงานทำ บ้านเช่า ข้าวซื้อ ผมก็พาครอบครัวกลับมาอยู่กับพ่อของผมอย่างสง่าผ่าเผยและภาคภูมิ คว้าเตารีดและถือไถเล่นงานพ่อของผมต่อไป

ในที่สุดผมพบกับพี่ชายของผมคนหนึ่งซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องกับผม ความจริงผมมีศักดิ์เป็นพี่เขาแต่เขาแก่กว่าผมสามสี่ปีผมก็เรียกเขาว่าพี่ เขาเป็นผู้บังคับการเรือลำหนึ่ง เปล่าหรอกครับ ผมเรียกให้โก้ ๆ ไปยังงั้นเอง เขาเป็นนายท้ายเรือกลไฟเดินในแม่น้ำเจ้าพระยาเท่านั้น เรือลำนั้นเป็นเรือกลไฟสองชั้นชื่อเป็นเมืองแขกผมลืมไปเสียแล้ว เจ้าของเรือก็คือขุนด่ำ ๆ มีเรือกลไฟมากมายที่สุด บ้านริมแม่น้ำฝั่งธนบุรีตรงข้ามกับบางกระบือ พี่ชายผมได้เงินเดือน 150 บาท ซึ่งนับว่ามากโขเท่ากับร้อยเอกเต็มขั้นสมัยนั้น แล้วยังได้เบี้ยเลี้ยงอีกวันละ 5 บาท หน้าที่ของเขาคือโยงเรือข้าวที่เรียกว่าเรือกระแชง, เรือข้างกระดาน และตลอดจนเรือทรายเรือส่งจากกรุงเทพฯ ไปสิ้นสุดแค่ปากน้ำโพนครสวรรค์ เขาเห็นว่าผมว่างงานก็ชวนผมให้ไปฝึกงานขับเรือกับเขา

ผมนึกสนุกขึ้นมาแล้ว เผ่นลงเรือไปกับพี่ชายมีชีวิตอยู่ในเรือกลไฟลำนั้นอย่างสนุกสนาน การถือท้ายเรือก็ไม่ยากลำบากอะไรนัก แต่การถือท้ายในตอนกลางคืนยากมาก ตอนแรก ๆ ผมรู้สึกว่าแม่น้ำมันตัน ตอนหลังเมื่อเคยชินตื่นขึ้นดึกดื่นเห็นต้นไม้ริมฝั่งก็รู้ว่าเรือถึงไหน ผมเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปปากน้ำโพซ้ำ ๆ ซาก ๆ ผ่านปทุมธานี ผ่านบางไทรซึ่งตอนนั้นมีแม่น้ำแยกสองทาง ไปพระนครศรีอยธยาผ่านบางประอินทางหนึ่ง และไปทางคลองหัวตะพานไปบางบาลออกแม่น้ำใหญ่ในเขตจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ผ่านป่าโมกข์ อ่างทอง ไชโย เมืองสิงห์ บ้านแป้ง อำเภออินทรบุรี เรื่อยไปกระทั่งสรรพยาชัยนาท คุ้งสำเภา หัวแด่น โกรกพระ แล้วนครสวรรค์ ระหว่างทางหยุดซื้อฟืนเป็นระยะ ๆ ไป ร้านฟืนมักจะมีลูกสาวหรือหลานสาวสวย ๆ เอาของกำนัลใส่ถาดมาให้นายท้าย ทั้งนี้ก็เพราะนายท้ายจะซื้อร้านไหนก็ได้ ผมมีแฟนอยู่ที่บางไก่เถื่อนทางชัยนาทคนหนึ่ง ขนาดส่งจดหมายรักให้หล่อนและโต้ตอบกันไปมา สันดานผมมีเมียแล้วก็ยังอดเจ้าชู้ไม่ได้ งานก็ยังไม่มีทำแน่นอนเพียงแต่พี่ชายได้ช่วยเหลือผมเที่ยวละ 10 บาท เดือนหนึ่งขึ้นล่อง 5 หรือ 6 เที่ยวเท่านั้น ต่อมาสามีของหล่อนได้มาพบกับผมและขอร้องให้ผมถอนตัวจากหล่อนโดยอ้างว่า ขอให้เห็นแก่ลูกตาดำ ๆ ของเขา ดูซีครับ….. หล่อนอายุราว 18 ขวบเท่านั้น มีลูกตั้ง 2 คน อ้ายผมนึกว่ายังเป็น "น.ส." ที่แท้ "ม.ผ." แล้ว ผมยอมรับปากกับผัวของหล่อนโดยดีว่าผมจะไม่ยุ่งกับหล่อนอีก เมื่อทราบความจริงเช่นนั้น หมอนั่นยกยอปอปั้นในความเป็นลูกผู้ชายของผม ความจริงหารู้ไม่ว่าที่ผมยอมถอนตัวเพราะพี่ชายผมกระซิบบอกผมว่า นายคนนั้นเป็นนักเลงใหญ่บางไก่เถื่อน เคยฆ่าคนมาแล้ว ถ้าผมยังยุ่งกับเมียของเขา ผมอาจจะถูกส่องด้วยปืนลูกซองมีอันเป็นเท่งทึงไปเพราะเรือจอดรับฟืนยิงง่ายมาก

ก็อย่างว่าแหละครับ ผมเป็นคนจับจดทำอะไรก็ไม่ยืดอย่างที่เขาว่า เหยียบอุจจาระไก่ไม่ฝ่อ ผมได้ประกาศนียบัตรนายท้ายของกรมเจ้าท่า ทำหน้าที่เป็นนายท้ายที่ 2 คือเป็นผู้ช่วยพี่ชายของผมได้ไม่กี่เดือนผมก็ขึ้นจากเรือเพราะเบื่อ เป็นอันว่าผมอยู่เรือได้เพียงปีครึ่ง แต่ผมก็มีเหตุผลเหมือนกัน เรือที่ผมประจำอยู่ได้รับคำสั่งให้ไปแทนเรือโดยสารรับคนโดยสารจากท่าเตียนไปปากน้ำโพ ผมไม่อยากเผชิญหน้าผู้โดยสารมากหน้าหลายตานั่นเอง

ตอนนี้ผมก็เริ่มเป็นนักเขียนละครับ นั่ง ๆ นอนๆ อยู่กับบ้านก็เลยลองแต่งหนังสือดู เรื่องแรกชื่อ "นักเรียนนายร้อย" ต้นฉบับของผม 100 หน้ากระดาษฟุลสะแก๊ปพอดี ผมนำไปเสนอขายที่สำนักพิมพ์ "เพลินจิตต์" แต่ท่านเจ้าของท่านบอกว่าเรื่องของนักเขียนหน้าใหม่ไม่ทำตลาด ที่นั่นมีนักเขียนมือดีประจำอยู่หลายคนแล้ว ผมเกือบหมดหวังที่จะได้เป็นนักเขียน บังเอิญคุณ ส. บุญเสนอ ซึ่งเป็นตัวจักรสำคัญของ "เพลินจิตต์" ในยุคนั้น เห็นลายมือผมสวยก็ชักสนใจเลยรับไว้พิจารณา แล้วคุณ ส.บุญเสนอ คนนี้อีกแหละครับที่รับซื้อเรื่อง "นักเรียนนายร้อย" ของผมไว้เป็นเงิน 20 บาท ผมกลายเป็นนักเขียนขึ้นมาแล้ว สมัยนั้น "เพลินจิตต์" พิมพ์หนังสือครั้งละ 30,000 เล่ม จำหน่ายในราคา 10 สตางค์ พอ "นักเรียนนายร้อย" พิมพ์ขายได้ไม่กี่วันท่านเจ้าของ "เพลินจิตต์" ก็สั่งให้ผมเขียนอีก

"เขียนมา คุณปิ๋ว เขียนได้เดือนละกี่เรื่องก็ส่งมา ผมเพิ่มให้อีกเรื่องละ 15 บาท" โอ้โฮ ผมไม่ใช่คนแล้ว ผมจะทำงานหาพระแสงอย่างว่าทำไมกัน งานอะไรไม่เอาทั้งนั้น เป็นนักเขียนดีกว่า ไม่ช้าผมคงมีเงินล้าน ซื้อสนามหลวงปลูกตึกอยู่ ขี่ "ฟอร์ดลินคอล์น" หรือ "คาดินแล็ค" ให้เหมือนกับนักเขียนใหญ่ต่างประเทศ ผมจะมีอนุสัก 20 คน ผมจะปรับปรุงชีวิตของผมให้เป็นคนชั้นสูง พูดคุยกับใครก็ต้องเก๊กหน้าพูดช้า ๆ ทำเสียงขึ้นนาสิก เวลาเดินก็ต้องเอาหัวไปก่อน ทำคอกระดุ๊บ ๆ แบบหัวนอก ตอนนี้ผมชักยุ่งใหญ่ด้วยการสร้างวิมานบนอากาศ

แต่แล้วผมก็หนีคำว่าไส้แห้งไปไม่พ้น เขียนเรื่องได้เงินมาก็ใช้หมด หมดไปกับสุรา, นารี, พาชี, กีฬาบัตร หรือเหล้ายาปลาปิ้งม้ามิ่งอรชร ทั้งนี้ก็ไม่ใช่ผมเลวหลงใหลหรอกครับ ค่าลิขสิทธิ์ของเรามันถูกเกินไปนั่นเอง ผมได้เงินมาถ้าผมไม่เที่ยว ไม่ซื้อหนังสืออ่าน ไม่สมาคมกับเพื่อนฝูง ผมก็ไม่มีวัตถุดิบที่จะสร้างเรื่องของผม ติ๋งต่างว่าผมจะเขียนเรื่องที่เกี่ยวกับนวดตัวอาบน้ำ ผมก็ต้องเสียเงินไปให้เขานวดตัวอาบน้ำให้ผมเสียก่อน แต่ว่าเรื่องที่ผมเขียนเกี่ยวกับในคุกผมไม่เคยเข้าไปอยู่นะครับ ผมเพียงแต่ไต่ถามจากผู้ชำนาญการติดคุกหรือพวกสิงห์อมควันเท่านั้น บางทีผมก็ยกเมฆเอาเพราะผมเชื่อว่าท่านผู้อ่านก็คงไม่รู้เรื่องในคุกเหมือนกัน

เขียนหนังสืออย่างเดียวไม่พอรับประทานครับ ผมต้องเข้าโรงจำนำบ่อย ๆ เพื่อนผมคนหนึ่งซึ่งเป็นเพื่อนรุ่นพี่ และเป็นนักเรียนเก่าเลือดหัวแดงมาด้วยกัน เขาเป็นเจ้าของละคร "แม่เลื่อน" และเป็นคนคนเดียวกับแม่เลื่อน เขาดึงผมไปทำละครกับเขา ตอนนี้ชีวิตผมโลดโผนโจนทะยานมาก กินนอนอยู่ตามโรงละครพาละครออกต่างจังหวัด ทั้งเหนือใต้หรืออีสานตลอดจนตะวันออกถึงจันทบุรี ในฐานะที่ผมเป็นนักประพันธ์และผู้กำกับ ผมทำงานแบบเพื่อนฝูงได้เสียกินด้วยกัน แต่โดยมากมักจะเสียมากกว่าได้ครับ เพราะละครมีรายจ่ายสูงกว่ารายรับ ในที่สุด "แม่เลื่อน" จากผมและใคร ๆ ไปโดยไม่มีวันกลับ ละครแม่เลื่อนก็มีสภาพเช่นแพแตกจนกระทั่งสงครามอาเซียบูรพาเกิดขึ้น

ตอนนี้ผมได้ภรรยาอีกคนหนึ่ง เป็นคนที่เท่าไรผมไม่บอก แต่เป็นคนสุดท้ายที่อยู่ร่วมชีวิตกับผมมา 25 ปี แล้วจนกระทั่งบัดนี้และ…กว่าเราจะตายจากกัน

โรงพิมพ์ปิด กระดาษเข้ามาไม่ได้ เจ้าของสำนักพิมพ์อพยพ นักเขียนพบหน้ากันก็ยิ้มซีด ๆ ผมวางปากกาชั่วคราวเพราะไม่มีใครซื้อ ความจริงไม่ได้วางแต่จำนำไว้ที่สี่แยกสะพานแม้นศรี ผมเข้าทำงานละครชายจริงหญิงแท้หลายคณะเพื่อเอาเงินมายาไส้ พอครบปีแรกของสงคราม กรุงเทพฯ ก็เจอลูกบ็อมบ์เหตุการณ์ตอนนี้มันยุ่งเหยิงจนผมจับต้นชนปลายไม่ถูก ผมเก็บของเก่าขายพาครอบครัวอพยพไปอ่างทองปิตุภูมิของผม แล้วก็กลับมากรุงเทพฯ ในที่สุดเมื่อไม่มีจะรับประทาน ผมกับเมียผมก็กลายเป็นนักพากย์ภาพยนตร์ไป พากย์ในกรุงเทพฯแล้วก็ล่องใต้ ตอนนี้พอมีอัฐฬศใช้ สองคนผัวเมียแยกหนังคนละถุง ทั้งลำบากทั้งสนุกในการเผชิญชีวิต หายไปหลายเดือนพอกลับมาบ้านก็ถูกล็อตเตอรี่ตราลูกบ็อมบ์ไม่มีอะไรเหลือ ถึงแม้บ้านของเราเป็นบ้านเล็กไม่มีเฟอร์นิเจอร์สวยงามอะไรนัก ก็มีเสื้อผ้าข้าวของเครื่องใช้ครบถ้วน แต่ระเบิดเพลิงทำให้บ้านเหลือแต่เสา เพื่อนบ้านเท่งทึงไปหลายคน บางคนคอขาดนอนยิงฟันอยู่ใต้ท้องร่อง ผมเห็นเข้าผมถามว่าบาดเจ็บมากน้อยเพียงไรก็ไม่ยอมพูดกับผม

ไม่มีใครที่จะยอมอดตาย ผมเขียนเรื่องขายทั้ง ๆ ที่สำนักพิมพ์เขาเลิกพิมพ์ผมขายถูก ๆ เกือบจะเรียกว่า ชั่งขายเป็นกิโล ซึ่งก็พอขายได้แบบแค่น ขายจนกระทั่งสงครามเลิก แล้วชะตาผมก็พุ่งขึ้นสูงสุดโดยไม่รู้ตัว ผมออกหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งขายดีเป็นบ้า นวนิยายเรื่องบู๊ดุเดือดคือ "เสือใบ" ทำให้ผมกลายเป็นเศรษฐีย่อย ๆ ขึ้นมา ไม่ใช่โม้นะครับ ให้ผมชักดิ้นชักงอน้ำลายฟูมปากเท่งทึงไปเดี๋ยวนี้ยังได้ ก่อนที่เพื่อนผมชวนไปทำหนังสือ ผมมีกางเกงอยู่ตัวเดียวเสื้อเชิ้ทเก่า ๆ สองตัว ในระยะครึ่งปีเท่านั้นผมไม่ใช่คนแล้ว ผมมีทุกสิ่งทุกอย่างที่คนมีเงินเขามีกัน ผมเต๊ะท่าและเบ่งจนใคร ๆ เขาหมั่นไส้ผมและอยากถุยน้ำลายรดผม ผมเป็นผู้อำนวยการหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นมีอำนาจเต็มที่ ผู้หญิงห้อมล้อมตอมผมเหมือนแมลงวันตอมเม็ดทุเรียน สันดานของผมก็เหมือนกับนักเป่ากระหม่อมทั้งหลายแหละครับ ทำใจให้เป็นอุเบกขาอย่างไรก็อดไม่ได้ เลยเกิด "ห้วงรักเหวลึก" กับเด็กสาวคนหนึ่งซึ่งมาหัดแต่งหนังสือกับผมและตอนหลังกลายเป็นนักเขียนชื่อดังไป เพราะผมสอนให้เป็นพิเศษจริง ๆ แบบโตแล้วเรียนลัด

ติ๋งต่างว่าตอนนี้กองเซ็นเซ่อร์ เขาตัดออกนะครับ เป็นอันว่าผมแยกทางกับ "อีหนู" คนนั้น ความรุ่งเรืองของผมเป็นอยู่ได้ชั่วระยะเวลาสามสี่ปีผม ก็เตะฝุ่นเข้าโรงจำนำอีก กร๊าฟชีวิตตกต่ำลงเรื่อย ๆ ตลาดหนังสือตกต่ำ สำนักพิมพ์ซื้อเรื่องน้อยลง ราคาค่าเรื่องก็ถูกลงอีก ตอนที่ผมรุ่งเรืองขนาดนับตัวขาย ตัวละบาทรวด พอตกต่ำต้องชั่งขายเป็นกิโล แต่ผมก็ไม่ทุกข์โศกหรือเสียดายอดีตที่ผ่านมาเพราะชีวิตของคนเรามันก็ต้องเป็นไปตามดวงชะตาหรือพรหมลิขิต โลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน

ปัจจุบันนี้ผมมีความสุขยิ่งกว่ามหาเศรษฐีเสียอีกทั้ง ๆ ที่ผมต้องเข้าโรงจำนำทุกเดือน ที่มีความสุขก็คือผมถือสันโดษพอใจในสภาพความเป็นอยู่ของผม เพื่อนฝูงที่เขาใหญ่โตเป็นนายพลนายพันก็ยังไม่ลืมผม มีการติดต่อไปมาหาสู่ผมอยู่เสมอ ทุกคนพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือผม แต่ผมพยายามช่วยตัวเองไม่ชอบเบียดเบียนรบกวนเพื่อนหรือญาติพี่น้อง

ประวัติของผมก็เป็นอย่างนี้แหละครับ ผมไม่ใช่คนสลักสำคัญไม่มีความสำคัญอะไรในตัวเอง เรื่องทำดีผมก็ทำดีอยู่แล้ว เรื่องประหยัดผมก็ประหยัดอย่างที่สุด แต่มันไม่มีจะประหยัด ตั้งแต่ผมแต่งหนังสือมา 30 ปี ผมเก็บเงินไว้ได้เพียง 150 ล้านเท่านั้น ซึ่งฝากไว้ในธนาคารต่างประเทศ ว่าจะไม่บอกท่านผมก็อดคุยโม้ไม่ได้ แต่ถ้าท่านคิดว่าผมมีจริงก็ขอได้โปรดพลิกดูหน้าปกหนังสือเล่มนี้เสียก่อน

ทำไมผมถึงเขียนถึงประวัติของผมเอง คำตอบก็คือว่าคนอื่นจะมารู้เรื่องของผมดีกว่าผมไม่ได้ เป็นต้นว่าผมเป็นหนี้ใครอยู่เท่าไรผมก็ไม่ได้เขียนบอกท่าน แล้วใครจะมาตรัสรู้ว่าผมเป็นหนี้ใครหรือเปล่า เรื่องเหล้าหรือครับ ผมอยากจะเลิกเหมือนกันแต่มันเลิกไม่ได้ พอตกเย็นในท้องมักกวนพยาธิครับ ดื่มสักครึ่งแบนช่วยให้ครึกครื้น สมองใส สบายตัว มีชีวิตชีวาโดยไม่ต้องใช้น้ำมันใส่ผม

อย่างไรก็ตามก่อนที่ผมจะจบประวัติของผม ผมใคร่ขอเตือนคุณหนุ่มสาวที่อยากเป็นนักเขียนว่า จงเลิกล้มความคิดนี้เสียเถิดครับ เว้นแต่ท่านจะเป็นนักเขียนสมัครเล่นไม่ใช่เขียนเรื่องไปเที่ยวขายเขาตามสำนักพิมพ์ ผมเองเดินเตะฝุ่นมามากแล้ว ตอนนี้ค่อยยังชั่วหน่อยที่คุณสุรพลเจ้าของสำนักพิมพ์ "ผดุงศึกษา" ยังช่วยรับซื้อเรื่องผม พอมีอัฐฬัศใช้มีเหล้ากิน ขอให้ท่านผู้อ่านโปรดเมตตาช่วยอุดหนุน "ศาลาโกหก" ของผมเถอะครับ ไม่ช้าผมก็คงเท่งทึงแล้ว นักโกหกขนาดหนักอย่างผมก็เห็นจะหาได้ยาก

ป. อินทรปาลิต





All contents in this web site are intended for private use and educational purpose only. Our main objectives are to promote SamGler to cyberspace surfers and to memorize Por Intalapalit, one of the greatest writers in Thai fiction history.